Steven Spielberg (สตีเว่น สปีลเบิร์ก)

Steven Spielberg

Steven Spielberg (สตีเว่น สปีลเบิร์ก)

เกิดเมื่อ 18 ธันวาคม 2489 (คศ.1946)
ที่เกิด ซินซินนาติ, โอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ประวัติย่อ
สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร หนึ่งในผู้สร้างที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งใหญ่แห่งวงการ และยังเป็นผู้กำกับที่กวาดรายได้โดยรวมสูงสุดตลอดกาล ได้เป็นผู้ควบคุมภาพยนตร์ที่ดังระเบิดอย่าง Jaws, E.T. The Extra-Terrestrial, ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง Indiana Jones และภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park ท่ามกลางชื่อเสียงของเขาอีกมากมายมหาศาล เขาเป็นผู้คว้ารางวัล Academy Award® มาแล้วถึงสามครั้ง

สปีลเบิร์กคว้ารางวัล Oscars ครั้งแรก 2 รางวัล สำหรับภาพยนตร์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ให้กับภาพยนตร์ที่มีการยกย่องไปทั่วโลกอย่างเรื่อง Schindler’s List ที่ได้รับรางวัล Oscars รวมถึงเจ็ดรางวัล ภาพยนตร์ยังได้รับฉายาว่าเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 1993 โดยองค์กรของนักวิจารณ์ส่วนมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังคว้ารางวัล BAFTA Awards อีกเจ็ดรางวัล และรางวัล Golden Globe Awards อีกสามรางวัล ซึ่งทั้งสองรางวัลนั้นรวมถึงสาขาภาพยนตร์และผู้กำกับยอดเยี่ยม สปีลเบิร์กยังคว้ารางวัล Directors Guild of America (DGA) Award อีกด้วย

สปีลเบิร์กกคว้ารางวัล Academy Award® เป็นครั้งที่สาม ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม สำหรับภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง Saving Private Ryan ที่กวาดรายได้จากการฉาย(ภายในประเทศ) สูงสุดแห่งปี 1998 และยังเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับเกียรติสูงสุดแห่งปี ที่คว้าครางวัล Oscars® เพิ่มอีกสี่รางวัล รวมไปถึงรางวัล Golden Globe Awards สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า และผู้กำกับยอดเยี่ยม และรางวัลจากกลุ่มนักวิจารณ์อีกมากมายในสาขาเดียวกัน สปีลเบิร์กยังคว้ารางวัล DGA Award เพิ่มอีก และร่วมคว้ารางวัล Producers Guild of America’s (PGA) Award ร่วมกับผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์คนอื่นๆ ในปีเดียวกันนั้นเอง PGA ได้เสนอรางวัล Milestone Award อันทรงเกียรติให้แก่สปีลเบิร์ก สำหรับการสนับสนุนที่สำคัญแห่งประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์

เขายังได้รับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Munich, E.T. The Extra-Terrestrial, Raiders of the Lost Ark และ Close Encounters of the Third Kind นอกจากนั้นเขายังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล DGA Award สำหรับภาพยนตร์เหล่านั้น รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่อง Jaws, The Color Purple, Empire of the Sun และ Amistad ด้วยสิบรางวัลถึงวันนี้ สปีลเบิร์กยังได้รับเกียรติโดยพรรคพวก ด้วยการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล DGA Award มากกว่าผู้กำกับคนอื่น ในปี 2000 เขาได้รับรางวัล DGA’s Lifetime Achievement Award เขายังเป็นผู้รับรางวัล Irving G. Thalberg Award จาก Academy of Motion Picture Arts and Sciences, Hollywood Foreign Press’s Cecil B. DeMille Award, Kennedy Center Honors และคำยกย่องจากสายงานอาชีพอื่นอีกมากมาย

สปีลเบิร์กได้กำกับภาพยนตร์สุดฮิตแห่งปี 2008 เรื่อง Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ที่กวาดรายได้กว่า 780 ล้านดอลลาร์จากทั่วโลก เขาถ่ายภาพยนตร์รูปแบบ 3 มิติ เรื่อง The Adventures of Tintin: Secret of the Unicorn ที่อ้างอิงจากตัวละครที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งสร้างขึ้นโดยจอร์จส เฮอร์เช่ เรมี่ มีกำหนดฉายในปี 2011

เขากำกับภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง War Horse ที่สร้างขึ้นจากนวนิยายที่ได้รับรางวัล ซึ่งยังถูกดัดแปลงลงสู่ผลงานละครเวทีอันยิ่งใหญ่ยอดนิยมที่ลอนดอน ผลงานจาก DreamWorks Studios ภาพยนตร์ปี 2011 ในปี 2008 หุ้นส่วนคนสำคัญอย่างสปีลเบิร์ก และสเตซี่ สไนเดอร์ ได้ร่วมกับ The Reliance Anil Ambani Group เพื่อก่อตั้งบริษัท DreamWorks Studios แห่งใหม่ขึ้นมา

เส้นทางอาชีพของสปีลเบิร์ก เริ่มต้นด้วยหนังสั้นเมื่อปี 1968 เรื่อง Amblin ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุด ที่เคยเซ็นสัญญาทำงานกับสตูดิโอระยะยาว เขาเป็นที่สนใจครั้งแรกในภาพยนตร์ทางทีวีเมื่อปี 1971 เรื่อง Duel สามปีถัดมาเขากำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่อง The Sugarland Express จากบทภาพยนตร์ที่เขาร่วมเขียนขึ้นด้วย ภาพยนตร์ถัดมาของเขาคือเรื่อง Jaws ที่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำลายรายได้ด้วยสถิติ 100 ล้านดอลลาร์

ในปี 1984 สปีลเบิร์กได้ก่อตั้งบริษัทสร้างภาพยนตร์ของตัวเองที่มีชื่อว่า Amblin Entertainment ภายใต้สัญลักษณ์ของ Amblin เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง หรือผู้อำนวยการสร้างบริหาร ในภาพยนตร์ยอดนิยมอย่างเรื่อง Gremlins, Goonies, Back to the Future I, II, และ III,” Who Framed Roger Rabbit?, An American Tail, Twister, The Mask of Zorro และภาพยนตร์เรื่อง Men in Black อีกทั้ง Amblin ยังสร้างซีรีส์ฮิตเรื่อง ER ร่วมกับ Warner Bros. Television อีกด้วย

ในปี 1994 สปีลเบิร์กได้ร่วมมือกับเจฟฟรีย์ แคตเซนเบิร์ก และเดวิด เกฟเฟ่น เพื่อก่อตั้ง DreamWorks Studios สตูดิโอเพลิดเพลินไปกับความสำเร็จทั้งด้านนักวิจารณ์และในเชิงพาณิชย์ รวมไปถึงรางวัลชนะเลิศ Academy Award® อีกสามรางวัล สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของเรื่อง American Beauty, Gladiator และ A Beautiful Mind ตามลำดับ ด้านประวัติความเป็นมา DreamWorks ได้สร้างหรือร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่หลากหลาย รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ดังระเบิดเรื่อง Transformers, ภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลงานของคลินต์ อีสต์วูด เรื่อง Flags of Our Fathers และ Letters from Iwo Jima ตามมาด้วยการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar® สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, Meet the Parents และ Meet the Fockers และ The Ring ที่กลายมาเพียงเล็กน้อย ภายใต้สัญลักษณ์ของ DreamWorks สปีลเบิร์กยังได้กำกับภาพยนตร์อย่างเรื่อง War of the Worlds, Minority Report, Catch Me If You Can และ A.I. Artificial Intelligence

สปีลเบิร์กไม่ได้ขีดกั้นความสำเร็จไว้แค่บนจอยักษ์เท่านั้น บนรอยเท้าจากประสบการณ์พวกเขาในภาพยนตร์เรื่อง “Saving Private Ryan” เขาและทอม แฮงค์ส ได้ร่วมทีมกันอำนวยการสร้างบริหารมินิซีรีส์ ที่ฉายทางช่อง HBO ในปี 2001 เรื่อง “Band of Brothers” โดยอ้างอิงมาจากหนังสือของสตีเฟ่น แอมโบรซ ที่เกี่ยวกับกองทัพสหรัฐในยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยรางวัลต่างๆ มากมาย โปรเจ็กต์นี้คว้ารางวัลทั้ง Emmy และ Golden Globe Awards สาขามินิซีรีส์ที่โดดเด่น เมื่อไม่นานมานี้เขาและทอม แฮงค์ส ได้กลับมาร่วมทีมกันอีกครั้ง เพื่ออำนวยการสร้างบริหารมินิซีรีส์ที่ได้รับการชมเชยแห่งปี 2010 ที่ฉายทาง HBO เรื่อง “The Pacific” ในครั้งนี้มุ่งความสนใจไปที่นาวิกโยธินในภาคพื้นแปซิฟิก แห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพยนตร์เรื่อง “The Pacific” คว้ารางวัล Emmy Awards ถึงแปดรางวัล รวมไปถึงรางวัลมินิซีรีส์ที่โดดเด่นอีกด้วย สปีลเบิร์กยังทำหน้าที่อำนวยการสร้างบริหาร ภาพยนตร์มินิซีรีส์ที่คว้ารางวัล Emmy ที่ฉายทางช่อง Sci-Fi Channel เรื่อง “Taken,” และมินิซีรีส์ที่ฉายทาง TNT เรื่อง “Into the West” ตอนนี้เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับซีรีส์ยอดนิยม ที่ฉายทาง Showtime เรื่อง “The United States of Tara”

นอกจากผลงานด้านการสร้างภาพยนตร์แล้ว สปีลเบิร์กยังสละเวลาและทรัพย์สินของบริษัทของเขาเพื่อสร้างการกุศลต่างๆ สิ่งที่ตามมาจากผลงานของเขาใน Schindler’s List ทำให้เขาก่อตั้งมูลนิธิ Righteous Persons Foundation ที่ใช้กำไรของเขาทั้งหมดจากภาพยนตร์ เขายังก่อตั้งมูลนิธิ Survivors of the Shoah Visual History Foundation ที่กลายเป็นสถาบัน USC Shoah Foundation Institute เพื่อ Visual History and Education ในปี 2005 ยิ่งไปกว่านั้น สปีลเบิร์กยังเป็นประธานที่ปลดเกษียณไปแล้วของมูลนิธิ Starlight Children’s Foundation ด้วย

 


—Movies, maybe Love—

LOVE - LIKE - SHARE